ทุกคนมีสิทธิ์พูดในขณะเดียวกันทุกคนก็ควรรับฟังกันและกัน แต่บางครั้งคนที่มีสิทธิ์พูดก็อาจพูดพล่ามมากเกินความจำเป็น และเป็นบ่อเกิดแห่งหายนะได้เช่นกัน ... นี่คือเนื้อหาของอีกหนึ่งเสี้ยวจาก The Darkest Romance วงดนตรีแนว Alternative / Extreme Metal จากค่าย GeneLab ในเครือ GMM Grammy ที่กลับมาพร้อมการแผดเสียงร้องผ่านซิงเกิลล่าสุด “มาก” เพื่อต้องการเป็นกระบอกเสียงระบายความอึดอัดในใจของคนที่ต้องทนฟัง พร้อมอยากตะโกนบอกบางคนให้หยุดพูดบ้างเผื่อสถานการณ์ทุกอย่างจะได้ดีขึ้น
การกลับมาคราวนี้พวกเขากลับมาพร้อมอารมณ์ดุดัน ไม่เกรงใจใครที่แอบใส่ความกวนผสมผสานการสร้างสรรค์อะไรใหม่ ๆ เข้าไปจนทำให้ซิงเกิล “มาก” ชวนให้เราต้องหยุดตั้งใจ “ฟัง” ความคิดที่พวกเขากำลังสื่อสารออกมา “เราวางคอนเซ็ปต์ไว้ให้เพลงนี้มีความดุดัน แต่กวน ๆ ก็เลยดีไซน์ดนตรีและเนื้อร้องให้ออกมามีความกวน ๆ ด้วย เวลาฟังเพลงอาจพบความคาดไม่ถึงในจังหวะแบบต่าง ๆ ที่เราสนุกกับการผสมผสานมันเข้าไป” แม็ก นักร้องนำ บอกเล่าถึงคอนเซ็ปต์การทำเพลงครั้งนี้ที่ทุกคนสนุกกับการสร้างสรรค์พยายามผสมผสานไอเดียต่าง ๆ จนทำให้เกิดกลิ่นอายดนตรีแปลกใหม่ ตั้งแต่การนำเอา element ทั้งที่เป็นเสียงดนตรีและไม่ใช่เสียงดนตรีเข้ามาใส่ไปในเพลง ไปจนถึงการนำเอาสิ่งที่ Mix แต่ไม่ Match ใส่ลงไปอย่าง อังกะลุง กับ Air Horn รวมถึงหยิบเอาเทคนิค “ทำลายกำแพงที่ 4 (Breaking the Fourth Wall)” ของวงการภาพยนตร์มาใส่เป็นกิมมิกลงไปในเพลงและมิวสิกวิดีโอจนกลายเป็นลูกเล่นสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้ฟังที่น่าสนใจทีเดียว
ในส่วนของเนื้อหาเพลงก็สื่อสารออกมาได้เข้มข้นดุเดือดเช่นเคย โดยซิงเกิลนี้ทางวงตั้งใจเป็นกระบอกเสียงระบายความอึดอัดในใจให้กับคนที่ต้องทนรับฟังโดยตอบโต้ไม่ได้ หรือตอบโต้แล้วก็กลับกลายเป็นจำเลยสังคมที่โดนกระแสตีกลับอย่างไม่ทันตั้งตัว “พวกเราแต่งเพลงนี้ขึ้นเพื่อต้องการบอกบางคนในบางสถานการณ์ว่าให้ช่วยเงียบลงบ้างสักหน่อยก็ได้ บางทีคนที่พูดเยอะก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนที่รู้เยอะ และสิ่งที่เขาพยายามสื่อสารหรือบอกต่อนั้นก็อาจจะไม่ใช่เรื่องจริง บางครั้งอาจเป็นความตั้งใจในขณะที่บ่อยครั้งอาจเป็นความเข้าใจผิด เมื่อสิ่งนี้มาประกอบกับความเชื่อมั่นก็ยิ่งทำให้เขาสื่อสารออกไปอย่างเต็มพลัง ใครขวางก็ไม่ฟัง ใครเตือนก็ไม่เชื่อ จนทำให้หลายคนรู้สึกว่ามันมากเกินไปแล้ว ไม่อยากจะรับฟัง รำคาญ แล้วก็อาจทำให้เราระเบิดได้ในที่สุด” แม็กกล่าวเพิ่มเติมถึงไอเดียด้านเนื้อหาเพลง
อีกมิติหนึ่งทางวงก็ต้องการเป็นกระบอกเสียงสะท้อนสังคมชวนให้ตระหนักถึงปัญหาเชิงจิตวิทยาอย่าง The Dunning-Kruger effect ที่แปลความหมายเป็นสำนวนไทยได้เจ็บจี๊ดว่า “โง่แล้วยังอวดฉลาด” ซึ่งกำลังทำร้ายสังคมมากเรื่อย ๆ ขึ้นทุกวัน ประเด็นนี้สื่อสารอย่างตรงไปตรงมานี้เพื่อต้องการเตือนให้สังคมตระหนักกับการคิดก่อนพูดให้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็อยากให้แข่งกันอวดรู้อวดฉลาดเพื่อโจมตีคนอื่นน้อยลง “เพลงนี้ต้องการพูดถึงความอึดอัดของคนที่ถูกสังคมรุมเร้าครับ เพราะทุกวันนี้มีแต่คนอยากพูดแต่ไม่ค่อยจะอยากฟังกันเลย เอาแต่อวดว่าตนเองเก่งกว่าคนอื่น ติเตียนคนอื่นแต่ก็รับคำติจากคนอื่นไม่ได้ เต็มไปด้วยคนที่คิดว่าตัวเองรู้มากและรู้หมดไปซะทุกเรื่อง กลัวการเป็นคนโง่ในสายตาคนอื่น ซึ่งจริง ๆ แล้วอยากบอกว่า บางครั้งบางสถานการณ์ก็ควรเงียบเสียดีกว่า ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องก็ได้ และไม่จำเป็นต้องพูดออกมาทุกเรื่อง เพราะบางครั้งมันอาจทำร้ายคนอื่นได้เหมือนกัน” แม็กกล่าวเสริมถึงประเด็นที่ต้องการสื่อสารเพื่อสะท้อนสังคม
เพลงนี้นอกจากจะโชว์การแผดเสียงสุดพลังได้อย่างน่าประทับใจแล้ว ภายในเพลงยังตั้งใจสอดแทรกสัญญะต่าง ๆ แฝงไว้อีกมากมาย ทั้งการจิกกัดประเด็นสังคม สะท้อนสถานการณ์บ้านเมือง ไปจนถึงการแสดงพลังสื่อสารพูดแทนคนในสังคมที่กำลังอึดอัดดั่งระเบิดเวลา นอกจากนี้ก็ยังมีการสื่อสารด้วยภาพผ่านการสร้างสรรค์มิวสิกวิดีโอที่จิกกัดสังคมได้กวนและเจ็บแสบไม่แพ้กัน เนื้อหาเชิงตลกร้ายสร้างสรรค์โดย CYPH ผ่านฝีมือกำกับของ แก๊ป-สิระ สิมมี เพื่อเล่าเรื่องของเหยื่อทางสังคมที่กดดันจนระเบิดออกมาในที่สุด และนั่นอาจเป็นการสื่อสารแทนผู้คนหลายคนในสังคมขณะนี้ที่ต้องการเตือนใครบางคนให้รู้ว่าทุกอย่างล้วนมีขีดจำกัดเช่นกัน ติดตามชมมิวสิกวิดีโอเพลง 'มาก' – The Darkest Romance ได้ทาง Youtube: GeneLab และฟังออนไลน์ได้ใน Streaming ทุกแพลตฟอร์ม
ติดตามข่าวสาร ความเคลื่อนไหวได้ที่
Instagram : tdrthailand และ genelabrecords
Comments